พลังของน้ำเพื่อสุขภาพที่ดี

ใครๆ ก็รู้ว่า น้ำมีความสำคัญ เพราะน้ำคือส่วนประกอบหลักของร่างกาย เราไม่สามารถขาดน้ำไปได้แม้แต่วันเดียว แต่จะดื่มน้ำอย่างไร ให้เกิดผลดีที่สุดต่อสุขภาพของเรากันล่ะ 

คุณคงเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็กจนโตว่า คนเราควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 -10 แก้ว แต่จริงๆ แล้ว ปริมาณน้ำที่เราควรดื่มคือเท่าไหร่กันแน่ แล้วควรจะดื่มตอนไหน ดื่มอย่างไร น้ำเย็นหรือน้ำอุ่น เป็นน้ำอย่างอื่นได้หรือไม่

แล้วในบรรยากาศแบบอากาศร้อนๆ ในเมืองไทยแบบนี้ การดื่มน้ำ 8 – 10 แก้วต่อวัน ยังคงเป็นตัวเลขที่เหมาะสมอยู่หรือไม่ ไปหาคำตอบพร้อมๆ กัน

คุณรู้หรือไม่ว่า การดื่มน้ำที่สะอาดอย่างเพียงพอ ไม่มากไป ไม่น้อยไป และถูกเวลา จะช่วยให้ระบบในร่างกายมีประสิทธิภาพดี ได้รับการกระตุ้นและพร้อมที่จะทำงาน น้ำมีประโยชน์มากมายที่ทำให้ระบบขับถ่ายดี ท้องไม่ผูก น้ำทำให้หัวใจสูบฉีดได้ดี น้ำทำให้เลือดของคุณไม่ข้น การไหลเวียนเลือดเป็นไปได้ง่าย น้ำทำให้ใบหน้าและผิวของคุณชุ่มชื่น ไม่แห้งกร้าน พร้อมทั้งทำให้นัยน์ตาของคุณสดใส มีน้ำหล่อเลี้ยง 

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประโยชน์จากการดื่มน้ำเท่านั้น!

ดื่มน้ำตอนไหนดี
การดื่มน้ำดื่มสะอาด หรือน้ำเปล่าที่ควรดื่มนั้น จะกำหนดง่ายๆ เป็น 1 – 2 ลิตรต่อวัน โดยมีระยะเวลาที่ควรดื่มในหนึ่งวันที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความสะดวกตามตารางชีวิตของคุณ หรือปรับไปตามลักษณะของอากาศได้บ้างเล็กน้อย

โดยเพียงแค่กระจายการดื่มน้ำใน 1 วันให้ได้ทุกช่วงเวลา และไม่ควรปล่อยให้คอแห้งหรือเกิดการกระหายน้ำระหว่างวัน เช่น ดื่มน้ำเปล่าตอนตื่นนอนตอนเช้าและก่อนนอน 1 ครั้ง ดื่มน้ำเปล่าก่อนอาหารและหลังอาหารอีก 1 ครั้ง และดื่มระหว่างวันอีก 2 ครั้ง ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายเลยที่คนเราจะกระจายการดื่มน้ำเปล่าภายใน 1 วันให้ได้ตามที่กำหนดไว้ 

อย่างไรก็ตาม คุณต้องจดจำไว้ให้ดีว่า ร่างกายของคุณต้องการน้ำที่สะอาดเพื่อใช้ไหลเวียนชำระล้างสิ่งที่ตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหารตลอดทั้งวัน 

ฉะนั้น จงดื่มน้ำเปล่าเพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกายของเรา

ดื่มน้ำอย่างไร
การดื่มน้ำที่ถูกวิธีและมีคุณภาพมากที่สุดคือ ไม่ใช่การดื่มทีละมากๆ ภายในครั้งเดียว แต่เป็นการค่อยๆ จิบทีละน้อยตลอด 5 - 10 นาที ให้พอชุ่มคอ และแก้กระหาย ซึ่งควรทำให้เกิดความเคยชิน เพียงแค่คุณวางแก้วน้ำไว้ใกล้ๆ ตัว เมื่อนึกขึ้นได้ก็ให้จิบน้ำทันที วิธีนี้จะช่วยให้ดื่มน้ำได้บ่อยและดีต่อสุขภาพอีกด้วย อย่าเพิ่งนึกภาพไปถึงการดื่มน้ำที่เป็นเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ นอกเหนือจากน้ำเปล่านะ เราอยากให้คุณโฟกัสถึงการดื่มน้ำเปล่าเท่านั้นก่อน 

น้ำเย็นหรือน้ำอุ่นดีกว่ากัน
เรารู้ว่า มีหลายคนที่ชอบดื่มน้ำเย็น หรือน้ำที่ใส่น้ำแข็ง เพราะทำให้รู้สึกชื่นใจมากกว่าจะเลือกดื่มน้ำอุ่น หรือน้ำอุณหภูมิห้อง รู้หรือไม่ว่า การดื่มน้ำเย็นหรือน้ำแข็งจะทำให้ระบบภายในของร่างกายของคุณต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นในการปรับอุณหภูมิของน้ำให้เท่ากับอุณภูมิของร่างกาย ฉะนั้น น้ำอุณหภูมิห้องจึงดีที่สุด 

การดื่มน้ำเย็นเป็นประจำนั้น รบกวนระบบย่อยอาหารของคุณได้ด้วย อีกทั้งอาจทำให้ร่างกายอ่อนแอได้ง่ายกว่าผู้ที่ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำที่มีอุณหภูมิห้องเป็นประจำ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เราคิดว่า คุณคงอยากจะลองปรับลักษณะการดื่มน้ำเปล่าของคุณกันแล้ว ใช่ไหม คุณเท่านั้นที่เป็นคนให้คำตอบได้

กินน้ำคำ กินอาหารคำ ได้ไหม
คุณจำได้ใช่ไหม จงดื่มน้ำก่อนและหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง แต่อย่าดื่มน้ำมากจนเกินไป ขอให้คุณดื่มน้ำก่อนหรือหลังรับประทานอาหารสักประมาณครึ่งชั่วโมง ลองปรับใช้ให้เกิดความเคยชิน และในระหว่างรับประทานอาหารคุณไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลาแบบข้าวคำ น้ำคำ เพราะการดื่มน้ำจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ทำให้ระบบย่อยทำงานได้ไม่ดีนั่นเอง

ดื่มเครื่องดื่มอย่างอื่น นอกจากน้ำเปล่าได้หรือไม่
แน่นอนว่า เราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะดื่มน้ำประเภทอื่นๆ บ้าง นอกจากน้ำเปล่าในชีวิตประจำวันของเราไปได้ ไม่ว่าจะเป็น น้ำหวาน น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ชานมไข่มุก กาแฟ ฯลฯ เพราะหลายคนเชื่อว่า ทั้งหมดที่กินคือน้ำเหมือนกัน 

เอาเป็นว่า คุณยังสามารถดื่มเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ ได้ เพียงแค่ขอให้คุณบาลานซ์การดื่มให้จงดี และเตือนตัวเองไว้เสมอๆ ว่า อย่าดื่มน้ำที่มีความหวานจนเกินลิมิตของร่างกาย แต่จงดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่ร่างกายต้องการเพื่อสุขภาพที่ดีในแต่ละวัน ง่ายๆ เท่านี้เอง คุณก็จะมีสุขภาพที่ดี แข็งแรงสดใส จากภายใน

เทคนิคที่ทำให้ดื่มน้ำเปล่าได้ถึงปริมาณที่คุณกำหนดไว้ 

1. เลือกใช้ขวดน้ำที่มีปริมาณ 1 ลิตรเพื่อวัดปริมาณการดื่มน้ำในแต่ละวันได้โดยง่าย และเตือนตนเองไว้เสมอว่าควรทานน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 1  ลิตร
2. วางขวดน้ำไว้ทุกทีที่ไป เช่น ใกล้เตียงนอน โต๊ะที่นั่งทำงาน และโต๊ะกินข้าวและมองเห็นได้ง่าย เห็นปุ๊บ ดื่มปั๊บ 
3. เลือกดื่มน้ำอุ่นๆ ก่อนนอน 1 แก้ว จะช่วยให้หลับสบายขึ้น

อ่านบทความนี้แล้ว มาดื่มน้ำเปล่าอุณหภูมิห้องกันเถอะ และคุณคงจะตอบได้แล้วว่า ที่ผ่านมาคุณได้ดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่ร่างกายต้องการเพียงพอแล้วหรือยัง