มองมุมคิด “OKMD” สร้าง “คน” ผ่านศูนย์เรียนรู้
หลังจากเคว้งคว้างอยู่นาน เพราะการหาพื้นที่เหมาะสมยังไม่คืบหน้าสำหรับ โครงการศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติ หรือ NKC (National KnowledgeCenter) ของสำนักงานบริหาร และพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) คำย่อคือ “สบร.” หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ “Office of Knowledge Managementand Development-OKMD” ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ภายใต้ผู้นำคนใหม่ล่าสุดอย่าง “วีระ โรจน์พจนรัตน์” ในตำแหน่งประธานกรรมการ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาคร่ำหวอดในงานด้านสายวัฒนธรรมมาอย่างโชกโชน
“วีระ” ระบุว่าภารกิจหลักของสำนักงานบริหาร และพัฒนาองค์ความรู้คือการสร้างให้คนสามารถ “เข้าถึง” ความรู้ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม พร้อมทั้งนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาทักษะของตัวเองและต่อยอดสร้างอาชีพให้ตัวเองได้ด้วย ที่สำคัญ เครื่องมือที่จะทำให้ภารกิจสำเร็จคือศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติดังกล่าวที่จะบริหาร จัดการความรู้ที่สมบูรณ์ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้สอดคล้องการพัฒนาประเทศ ส่งเสริมให้เกิดพื้นที่สร้างสรรค์ที่ทุกคนเข้าถึง ได้ค้นคว้า เรียนรู้ สร้างแรงบันดาลใจ และสร้างนวัตกรรม พัฒนาการเรียนรู้รูปแบบใหม่สำหรับกลุ่มทุกช่วงวัย พร้อมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปทำเป็นต้นแบบ และขยายผลในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป
“สำหรับสถานที่ตั้งศูนย์การเรียนรู้ฯดังกล่าวมีการคัดเลือกจาก 3 พื้นที่จากบริเวณเขตพัฒนาเชิงพาณิชย์ สวนหลวง-สามย่าน ของสำนักบริหารทรัพย์สินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริเวณอาคารลุมพินีสถาน ภายในสวนลุมพินี ของสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร และพื้นที่ของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ที่สามารถเชื่อมโยงกับหน่วยงานใกล้เคียง และพัฒนาเป็นพื้นที่การเรียนรู้(knowledge hub) ที่สำคัญของประเทศ”
“จนที่สุดคณะกรรมการได้พิจารณาเลือกพื้นที่ของ บมจ.อสมท บริเวณถนนเทียมร่วมมิตรที่ติดกับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และศูนย์วัฒนธรรมจีนเนื่องจาก 1) มีระบบขนส่ง และการคมนาคมสะดวก 2) มีปัจจัยแวดล้อมอื่นที่สนับสนุนต่อการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติในหลากหลายรูปแบบ และ 3) พื้นที่ใกล้เคียงกับห้องสมุดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ที่เรียกว่าห้องสมุด “มารวย” ซึ่งเป็นห้องสมุดเฉพาะด้านที่เกี่ยวกับตลาดทุนที่ทันสมัย และครบวงจร และเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ดำเนินการลงนามข้อตกลงเบื้องต้น(MOU) อย่างเป็นทางการ ในการยินยอมให้ OKMD เข้าใช้พื้นที่เพื่อจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติ พื้นที่รวม 11.5 ไร่ ของถนนเทียมร่วมมิตรที่ติดกับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย”
“OKMD มองยาวไปถึงอนาคตว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นฮับด้านการถ่ายทอด ส่งต่อด้านวัฒนธรรม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น วัฒนธรรมจีน ที่ทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์อันดีที่แนบแน่นมาโดยตลอด อีกทั้งในอนาคตศูนย์วัฒนธรรมยังมีแผนที่จะขยายต่อในเฟส 2 อีกด้วย คาดว่าจะมีการสร้างโรงละครเพิ่มเติม รวมถึงการสร้างองค์ความรู้เพื่อให้เข้ามาศึกษาเพิ่มเติมให้ผู้ที่สนใจด้านวัฒนธรรมสามารถเข้ามาใช้บริการได้ครบและจบในพื้นที่เดียวได้อีกด้วย”
“วีระ” กล่าวต่อว่านอกจากนั้นเรายังมีการออกแบบรูปแบบของศูนย์การเรียนรู้ฯดังกล่าวให้อาคารมีรูปแบบ mixed use development concept เพื่อให้สามารถมีการใช้งานได้หลากหลาย เช่น learning workshop mediatheque รวมถึงยังสามารถจัดนิทรรศการ และ auditorium โดยมีพื้นที่ใช้สอยราว 22,000 ตารางเมตรโดยมี 4 ส่วนหลัก ๆ ที่คำนึงถึงพฤติกรรมของผู้ใช้ประโยชน์ที่เปลี่ยนไป พร้อมทั้งนำหลักการของ social distancingมาออกแบบการใช้พื้นที่ให้เหมาะสม นอกจากนี้ ยังมีการบริการอื่น ๆ อย่างเช่นพื้นที่ใช้สอยที่มีความเป็นส่วนตัว กับการใช้พื้นที่ และการใช้บริการอื่น ๆ ร่วมกัน
“สำหรับงบประมาณที่ต้องใช้เพื่อการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ฯดังกล่าวจะอยู่ที่ไม่เกิน 972 ล้านบาทในช่วงเริ่มต้นและการดำเนินการก่อสร้างจะใช้เวลา3 ปี (ปีงบประมาณ 2564-2566) แบ่งเป็นค่าจัดทำรูปแบบรายการ และการออกแบบภูมิทัศน์รวม 36 ล้านบาท ค่าขนย้ายและค่ารื้อถอน 50 ล้านบาท ค่าก่อสร้างและตกแต่งอาคาร พร้อมทั้งพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัล 850 ล้านบาท และค่าควบคุมงาน 36 ล้านบาทโดยขอตั้งงบประมาณผูกพันข้ามปีคือ งบประมาณปี”64 เสนอตั้งงบฯไว้ที่ 213.20 ล้านบาท งบประมาณปี”65 เสนอตั้งงบฯ 354.40 ล้านบาท และงบประมาณปี”66 ตั้งงบฯไว้ที่ 404.40 ล้านบาท”
“นอกจากนี้ ยังเปรียบเทียบงบประมาณในการจัดตั้งศูนย์กับค่าเช่าสำนักงาน และพื้นที่ให้บริการ โดยเสียค่าเช่าพื้นที่อยู่50.4 ล้านบาทต่อปี หรือรวมทั้งสิ้นประมาณ 2,297.17 ล้านบาท สำหรับการใช้พื้นที่สำนักงาน และพื้นที่ให้บริการสถาบันอุทยานการเรียนรู้ขนาดพื้นที่รวม 6,038 ตารางเมตร รวมระยะเวลา30 ปี ขณะที่การลงทุนจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ดังกล่าวจะมีค่าเช่าพื้นที่ 48 ล้านบาทต่อปี หรือรวมแล้วประมาณ 2,187.78 ล้านบาท เมื่อรวมกับงบประมาณลงทุนก่อสร้างศูนย์แล้วจะอยู่ที่ 972 ล้านบาท รวมงบประมาณที่ต้องใช้อยู่ที่ 3,159.78 ล้านบาท”
“ดังนั้น เมื่อประเมินการใช้งบประมาณจะพบว่า “สูงกว่า” ค่าเช่าพื้นที่ที่เช่าอยู่ในปัจจุบัน 862.61 ล้านบาท แต่หากมองการลงทุนสร้างศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติมีความ “คุ้มค่า” มากกว่า เนื่องจากมีพื้นที่ใช้ประโยชน์สำหรับให้บริการเพิ่มขึ้นมากกว่า 3.5 เท่า ที่สำคัญคือสามารถให้บริการแก่ประชาชนคล่องตัวมากกว่าการเป็นผู้เช่าอาคารที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญาเช่า”
“วีระ” ยังบอกอีกว่าศูนย์การเรียนรู้ฯนี้ได้เพิ่มบทบาทของแหล่งเรียนรู้ใหม่ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ที่กลายเป็นตัวเร่งในการเรียนรู้ผ่านplatform online ให้มีบทบาทมากขึ้นทั้งยังสร้างสมดุลการเรียนรู้ ด้วยการนำหลักการสาธารณสุขมาปรับใช้ นอกจากนั้น ศูนย์การเรียนรู้ฯดังกล่าวยังสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี คือ 2560-2579 ในยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านการพัฒนา และเสริมสร้างศักยภาพของคน ด้วยการพัฒนาศักยภาพของคนในทุกช่วงวัย และส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เพื่อให้คนไทยมีศักยภาพเพียงพอในการมีส่วนร่วมกันพัฒนาประเทศ
“สำหรับผลงานของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ในช่วงที่ผ่านมา ประกอบด้วยงานห้องสมุดมีชีวิต ภายใต้การดำเนินงานของสถาบันอุทยานการเรียนรู้ เน้นไปที่การปลูกฝัง และส่งเสริมนิสัยรักการอ่านในรูปแบบ “ห้องสมุดมีชีวิต” พร้อมทั้งรองรับการเรียนรู้ที่ทันสมัย มีการเชื่อมโยงเครือข่ายกระจายความรู้ และเป็นแหล่งข้อมูลสาธารณะ ตามมาด้วยงานด้านพิพิธภัณฑ์ ภายใต้การดำเนินการของสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ เน้นสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ในรูปแบบ play+learn ในการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ และยกระดับมาตรฐานการจัดการการเรียนรู้รูปแบบใหม่ให้กับประชาชน”
“ต่อมาคืองานบริหารจัดการองค์ความรู้ภายใต้การดำเนินงานของสำนักงานบริหารและจัดการองค์ความรู้ ที่เน้นการบูรณาการองค์ความรู้ในลักษณะองค์รวม ครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดนโยบาย การวางแผน การติดตามประเมินผล นอกจากนี้ยังรวมถึงการจัดระบบการเรียนรู้สาธารณะ ผ่านแหล่งเรียนรู้สาธารณะที่ประชาชนสามารถเข้าถึง และใช้ประโยชน์ในการเพิ่มทักษะ ความรู้ ความสามารถได้ทั่วถึง เสริมสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ในภาพรวมต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ”
ส่วนเรื่องสิ่งที่พิสูจน์บทบาทของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ในช่วงที่ผ่านมานั้น “วีระ” บอกว่ามีผู้สนใจเข้ามาเยี่ยมชมใช้แหล่งเรียนรู้ และกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ มากกว่า 4 ล้านคนผ่านช่องทางการสื่อสารออนไลน์มากกว่า10 ล้านคน ผู้ได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“โดยชี้ให้เห็นว่าความต้องการแหล่งเรียนรู้ และการแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ของคนไทย สอดคล้องกับการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีในยุคที่เรียกว่า “internet ofthings” รวมถึงบริบททางเศรษฐกิจและสังคมหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19ยิ่งทำให้ประเทศควรมีศูนย์เรียนรู้ขนาดใหญ่และมีความทันสมัย เพื่อเป็นฐานรากทางความคิดและการสร้างนวัตกรรมของชาติต่อไป”
ที่มา : https://www.prachachat.net/csr-hr/news-489383
“วีระ” ระบุว่าภารกิจหลักของสำนักงานบริหาร และพัฒนาองค์ความรู้คือการสร้างให้คนสามารถ “เข้าถึง” ความรู้ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม พร้อมทั้งนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาทักษะของตัวเองและต่อยอดสร้างอาชีพให้ตัวเองได้ด้วย ที่สำคัญ เครื่องมือที่จะทำให้ภารกิจสำเร็จคือศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติดังกล่าวที่จะบริหาร จัดการความรู้ที่สมบูรณ์ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้สอดคล้องการพัฒนาประเทศ ส่งเสริมให้เกิดพื้นที่สร้างสรรค์ที่ทุกคนเข้าถึง ได้ค้นคว้า เรียนรู้ สร้างแรงบันดาลใจ และสร้างนวัตกรรม พัฒนาการเรียนรู้รูปแบบใหม่สำหรับกลุ่มทุกช่วงวัย พร้อมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปทำเป็นต้นแบบ และขยายผลในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป
“สำหรับสถานที่ตั้งศูนย์การเรียนรู้ฯดังกล่าวมีการคัดเลือกจาก 3 พื้นที่จากบริเวณเขตพัฒนาเชิงพาณิชย์ สวนหลวง-สามย่าน ของสำนักบริหารทรัพย์สินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บริเวณอาคารลุมพินีสถาน ภายในสวนลุมพินี ของสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร และพื้นที่ของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ที่สามารถเชื่อมโยงกับหน่วยงานใกล้เคียง และพัฒนาเป็นพื้นที่การเรียนรู้(knowledge hub) ที่สำคัญของประเทศ”
“จนที่สุดคณะกรรมการได้พิจารณาเลือกพื้นที่ของ บมจ.อสมท บริเวณถนนเทียมร่วมมิตรที่ติดกับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และศูนย์วัฒนธรรมจีนเนื่องจาก 1) มีระบบขนส่ง และการคมนาคมสะดวก 2) มีปัจจัยแวดล้อมอื่นที่สนับสนุนต่อการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติในหลากหลายรูปแบบ และ 3) พื้นที่ใกล้เคียงกับห้องสมุดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ที่เรียกว่าห้องสมุด “มารวย” ซึ่งเป็นห้องสมุดเฉพาะด้านที่เกี่ยวกับตลาดทุนที่ทันสมัย และครบวงจร และเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ดำเนินการลงนามข้อตกลงเบื้องต้น(MOU) อย่างเป็นทางการ ในการยินยอมให้ OKMD เข้าใช้พื้นที่เพื่อจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติ พื้นที่รวม 11.5 ไร่ ของถนนเทียมร่วมมิตรที่ติดกับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย”
“OKMD มองยาวไปถึงอนาคตว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นฮับด้านการถ่ายทอด ส่งต่อด้านวัฒนธรรม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น วัฒนธรรมจีน ที่ทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์อันดีที่แนบแน่นมาโดยตลอด อีกทั้งในอนาคตศูนย์วัฒนธรรมยังมีแผนที่จะขยายต่อในเฟส 2 อีกด้วย คาดว่าจะมีการสร้างโรงละครเพิ่มเติม รวมถึงการสร้างองค์ความรู้เพื่อให้เข้ามาศึกษาเพิ่มเติมให้ผู้ที่สนใจด้านวัฒนธรรมสามารถเข้ามาใช้บริการได้ครบและจบในพื้นที่เดียวได้อีกด้วย”
“วีระ” กล่าวต่อว่านอกจากนั้นเรายังมีการออกแบบรูปแบบของศูนย์การเรียนรู้ฯดังกล่าวให้อาคารมีรูปแบบ mixed use development concept เพื่อให้สามารถมีการใช้งานได้หลากหลาย เช่น learning workshop mediatheque รวมถึงยังสามารถจัดนิทรรศการ และ auditorium โดยมีพื้นที่ใช้สอยราว 22,000 ตารางเมตรโดยมี 4 ส่วนหลัก ๆ ที่คำนึงถึงพฤติกรรมของผู้ใช้ประโยชน์ที่เปลี่ยนไป พร้อมทั้งนำหลักการของ social distancingมาออกแบบการใช้พื้นที่ให้เหมาะสม นอกจากนี้ ยังมีการบริการอื่น ๆ อย่างเช่นพื้นที่ใช้สอยที่มีความเป็นส่วนตัว กับการใช้พื้นที่ และการใช้บริการอื่น ๆ ร่วมกัน
“สำหรับงบประมาณที่ต้องใช้เพื่อการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ฯดังกล่าวจะอยู่ที่ไม่เกิน 972 ล้านบาทในช่วงเริ่มต้นและการดำเนินการก่อสร้างจะใช้เวลา3 ปี (ปีงบประมาณ 2564-2566) แบ่งเป็นค่าจัดทำรูปแบบรายการ และการออกแบบภูมิทัศน์รวม 36 ล้านบาท ค่าขนย้ายและค่ารื้อถอน 50 ล้านบาท ค่าก่อสร้างและตกแต่งอาคาร พร้อมทั้งพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัล 850 ล้านบาท และค่าควบคุมงาน 36 ล้านบาทโดยขอตั้งงบประมาณผูกพันข้ามปีคือ งบประมาณปี”64 เสนอตั้งงบฯไว้ที่ 213.20 ล้านบาท งบประมาณปี”65 เสนอตั้งงบฯ 354.40 ล้านบาท และงบประมาณปี”66 ตั้งงบฯไว้ที่ 404.40 ล้านบาท”
“นอกจากนี้ ยังเปรียบเทียบงบประมาณในการจัดตั้งศูนย์กับค่าเช่าสำนักงาน และพื้นที่ให้บริการ โดยเสียค่าเช่าพื้นที่อยู่50.4 ล้านบาทต่อปี หรือรวมทั้งสิ้นประมาณ 2,297.17 ล้านบาท สำหรับการใช้พื้นที่สำนักงาน และพื้นที่ให้บริการสถาบันอุทยานการเรียนรู้ขนาดพื้นที่รวม 6,038 ตารางเมตร รวมระยะเวลา30 ปี ขณะที่การลงทุนจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ดังกล่าวจะมีค่าเช่าพื้นที่ 48 ล้านบาทต่อปี หรือรวมแล้วประมาณ 2,187.78 ล้านบาท เมื่อรวมกับงบประมาณลงทุนก่อสร้างศูนย์แล้วจะอยู่ที่ 972 ล้านบาท รวมงบประมาณที่ต้องใช้อยู่ที่ 3,159.78 ล้านบาท”
“ดังนั้น เมื่อประเมินการใช้งบประมาณจะพบว่า “สูงกว่า” ค่าเช่าพื้นที่ที่เช่าอยู่ในปัจจุบัน 862.61 ล้านบาท แต่หากมองการลงทุนสร้างศูนย์การเรียนรู้แห่งชาติมีความ “คุ้มค่า” มากกว่า เนื่องจากมีพื้นที่ใช้ประโยชน์สำหรับให้บริการเพิ่มขึ้นมากกว่า 3.5 เท่า ที่สำคัญคือสามารถให้บริการแก่ประชาชนคล่องตัวมากกว่าการเป็นผู้เช่าอาคารที่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญาเช่า”
“วีระ” ยังบอกอีกว่าศูนย์การเรียนรู้ฯนี้ได้เพิ่มบทบาทของแหล่งเรียนรู้ใหม่ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ที่กลายเป็นตัวเร่งในการเรียนรู้ผ่านplatform online ให้มีบทบาทมากขึ้นทั้งยังสร้างสมดุลการเรียนรู้ ด้วยการนำหลักการสาธารณสุขมาปรับใช้ นอกจากนั้น ศูนย์การเรียนรู้ฯดังกล่าวยังสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี คือ 2560-2579 ในยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านการพัฒนา และเสริมสร้างศักยภาพของคน ด้วยการพัฒนาศักยภาพของคนในทุกช่วงวัย และส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เพื่อให้คนไทยมีศักยภาพเพียงพอในการมีส่วนร่วมกันพัฒนาประเทศ
“สำหรับผลงานของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ในช่วงที่ผ่านมา ประกอบด้วยงานห้องสมุดมีชีวิต ภายใต้การดำเนินงานของสถาบันอุทยานการเรียนรู้ เน้นไปที่การปลูกฝัง และส่งเสริมนิสัยรักการอ่านในรูปแบบ “ห้องสมุดมีชีวิต” พร้อมทั้งรองรับการเรียนรู้ที่ทันสมัย มีการเชื่อมโยงเครือข่ายกระจายความรู้ และเป็นแหล่งข้อมูลสาธารณะ ตามมาด้วยงานด้านพิพิธภัณฑ์ ภายใต้การดำเนินการของสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ เน้นสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ในรูปแบบ play+learn ในการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ และยกระดับมาตรฐานการจัดการการเรียนรู้รูปแบบใหม่ให้กับประชาชน”
“ต่อมาคืองานบริหารจัดการองค์ความรู้ภายใต้การดำเนินงานของสำนักงานบริหารและจัดการองค์ความรู้ ที่เน้นการบูรณาการองค์ความรู้ในลักษณะองค์รวม ครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดนโยบาย การวางแผน การติดตามประเมินผล นอกจากนี้ยังรวมถึงการจัดระบบการเรียนรู้สาธารณะ ผ่านแหล่งเรียนรู้สาธารณะที่ประชาชนสามารถเข้าถึง และใช้ประโยชน์ในการเพิ่มทักษะ ความรู้ ความสามารถได้ทั่วถึง เสริมสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ในภาพรวมต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ”
ส่วนเรื่องสิ่งที่พิสูจน์บทบาทของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ในช่วงที่ผ่านมานั้น “วีระ” บอกว่ามีผู้สนใจเข้ามาเยี่ยมชมใช้แหล่งเรียนรู้ และกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ มากกว่า 4 ล้านคนผ่านช่องทางการสื่อสารออนไลน์มากกว่า10 ล้านคน ผู้ได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“โดยชี้ให้เห็นว่าความต้องการแหล่งเรียนรู้ และการแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ของคนไทย สอดคล้องกับการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีในยุคที่เรียกว่า “internet ofthings” รวมถึงบริบททางเศรษฐกิจและสังคมหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19ยิ่งทำให้ประเทศควรมีศูนย์เรียนรู้ขนาดใหญ่และมีความทันสมัย เพื่อเป็นฐานรากทางความคิดและการสร้างนวัตกรรมของชาติต่อไป”
ที่มา : https://www.prachachat.net/csr-hr/news-489383