OKMD จัดค่ายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี “หุ่นยนต์และAR” ให้เยาวชนใน จ.อีอีซี
22 มิ.ย. 62 จ.ชลบุรี --- OKMD หรือ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) สำนักนายกรัฐมนตรี จัดค่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหุ่นยนต์ (Robotics) และเทคโนโลยีความจริงเสมือน (Augmented Reality: AR) เพื่อเพิ่มศักยภาพและทักษะความรู้ให้เด็กมัธยมศึกษาตอนปลายและสายวิชาชีพในพื้นที่อีอีซี 3 จังหวัด 600 คน ให้ก้าวทันโลกและเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยจัดรุ่นที่ 2 ในวันที่ 22-23 มิ.ย. 62 ที่ จ.ชลบุรี เปิดเผยหลังปิดค่ายรุ่นที่ 1 ที่ จ.ฉะเชิงเทรา พบว่าเด็กให้ความสนใจมาก บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่เคยคิด เรียนสนุก และได้ไอเดียต่อยอดผลงานสิ่งประดิษฐ์เดิมเพื่อส่งประกวดระดับเขตการศึกษา
ดร. อภิชาติ กล่าวว่า จากข้อมูลของมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายและเศรษฐกิจการคลังล่าสุดในปี 2560 ในพื้นที่อีอีซีมีโรงเรียนระดับมัธยมศึกษารวมประมาณ 80 แห่ง มีเด็กระดับมัธยมศึกษาตอนปลายรวมกว่า 90,000 คน และมีสถาบันระดับอาชีวศึกษารวม 59 แห่ง นักเรียนประมาณกว่า 80,000 คน และภายใต้โครงการในปี 2562 นี้ OKMD จะดำเนินงาน 2 กิจกรรมหลัก ประกอบด้วย 1. การอบรมกลุ่มบุคลากรครูผู้สอนสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับวิทยาการหุ่นยนต์และคอมพิวเตอร์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ในเขตพื้นที่อีอีซี จำนวน 300 คน ระหว่างวันที่ 25-27 พ.ค. 62 และ 2. ค่ายเยาวชนเพื่อเพิ่มความรู้และทักษะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาและระดับอาชีวศึกษา ในพื้นที่อีอีซี หรือ OKMD Innovation Youth Camp จำนวน 600 คน ได้แก่ รุ่นที่ 1 ที่ จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 15-16 มิ.ย. 62 รุ่นที่ 2 ที่ จ.ชลบุรี วันที่ 22-23 มิ.ย. 62 และรุ่นที่ 3 ที่ จ.ระยอง วันที่ 29-30 มิ.ย. 62
ดร. อภิชาติ กล่าวต่อว่า OKMD ได้นำหลักการพัฒนาสมอง (Brain-based Learning : BBL) มาเป็นแนวทางจัดการเรียนรู้ภายในค่ายฯ ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบสเต็ม (STEM Education) เพื่อเพิ่มทักษะในทางปฏิบัติให้สามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วยตัวเอง โดยอาศัยการบูรณาการความรู้ 4 วิชาหลักที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรม (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) โดยเด็กๆ จะได้รับการกระตุ้น ปลูกฝัง เกิดแรงบันดาลใจและสนใจในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น เพราะจะเริ่มรู้จักความถนัดของตัวเอง ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ชอบ และสิ่งสำคัญ คือ ได้เรียนรู้ในสิ่งที่เป็นความต้องการที่แท้จริงของตลาดแรงงาน เทคโนโลยีมากขึ้น และอยากเรียนต่อในระดับปริญญาตรี หรือยึดเป็นวิชาชีพตามความถนัดความชอบของตัวเอง และยังได้เพิ่มการใช้ศิลปะ (Arts) เข้ามาเป็นอีกศาสตร์หนึ่งในการบูรณาการความรู้ตามความเหมาะสมกับประเภทของการใช้งาน ทั้งในส่วนของวิทยาการด้านหุ่นยนต์ และในส่วนของวิทยาการด้านเออาร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับกราฟิกคอมพิวเตอร์ ที่จะเน้นการใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีและศิลปะเข้ามาสร้างภาพให้เกิดมิติที่สวยงามและน่าสนใจ
โดยได้รับความร่วมมือจากอาจารย์และวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญจากสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มาให้ความรู้ในการอบรมเป็นเวลา 2 วัน เด็กจะเรียนรู้อย่างสนุกสนาน เข้าใจกลไกการทำงาน ได้ลงมือ และระดมสมองร่วมกันทำหุ่นยนต์และเออาร์ด้วยตนเองตามขั้นตอนจนสามารถใช้การได้จริง ซึ่งเป็นไปตามหลักการทำงานของสมอง คือ เรียนรู้ตรงจากประสาทการรับรู้ ทั้งทางหู ตา จมูก ลิ้น กายสัมผัส และใจ เรียนรู้ด้วยความเข้าใจมากกว่าการท่องจำ
ดร. อภิชาติ กล่าวอีกว่า สำหรับผลการจัด OKMD Innovation Youth Camp รุ่นที่ 1 ที่ จ.ฉะเชิงเทรา พบว่าเด็กให้ความสนใจมาก โดยเฉพาะค่ายหุ่นยนต์ มีนักเรียนสมัครเกินโควตา จาก 100 คน เพิ่มเป็น 120 คน จากการประเมินผลพบว่าเด็กมีทัศนคติดีขึ้น บอกว่า สนุกและไม่ยากเหมือนอย่างที่เคยคิดไว้ ทำให้ได้รับความรู้ สามารถเข้าใจได้มากขึ้น หลายคนเกิดแรงบันดาลใจที่จะนำความรู้จากการเข้าค่ายไปต่อยอดสิ่งประดิษฐ์เดิมที่เรียนในวิชาสเต็ม อย่างเช่น น้องๆ นักเรียนจากโรงเรียนดอนฉิมพลีวิทยาคม อ.บางน้ำเปรี้ยว ซึ่งเคยส่งผลงานสิ่งประดิษฐ์ทุ่นลอยน้ำให้อาหารปลา ทีมีการบูรณาการความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และการเกษตรเข้าด้วยกัน และได้รับรางวัลชนะเลิศเหรียญทองระดับจังหวัดฉะเชิงเทราในปี 2561 ก็จะกลับไปเพิ่มให้เป็นระบบอัตโนมัติ โดยใช้ความรู้ด้านไฟฟ้าและการควบคุมการทำงานโดยคอมพิวเตอร์ ทำให้สามารถเคลื่อนที่ได้ด้วย เพื่อให้ปลาได้กินอาหารอย่างทั่วถึง และตั้งใจจะส่งสิ่งประดิษฐ์นี้ประกวดในระดับเขตการศึกษา 6 ในปีนี้ด้วย
“ปัญหาของเด็กที่จบระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษานั้น บางส่วนอาจเลือกเรียนในสาขาที่ตัวเองไม่ได้ชอบหรือถนัด เมื่อเรียนจบก็อาจไม่อยากประกอบอาชีพในสาขาที่เรียนมา หรือไม่สามารถแข่งขันกับเด็กที่รู้จักตัวเอง และเลือกเรียนในสาขาที่ตนเองถนัดโดยตรง จึงเป็นสาเหตุสำคัญของการตกงาน หรือทำงานไม่ตรงกับสาขา ซึ่งถือว่าเป็นการเสียโอกาสของเด็กที่ต้องทุ่มเทเวลาเรียนถึง 3-4 ปี และแน่นอนที่ประเทศก็เสียโอกาสในการที่ไม่สามารถใช้ศักยภาพทุนมนุษย์ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง” ดร.อภิชาติ กล่าวทิ้งท้าย
ดร. อภิชาติ ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักโครงการและจัดการความรู้ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้(องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า OKMD ได้ดำเนินโครงการศึกษาและพัฒนาแนวทางเพิ่มศักยภาพคนเพื่อรองรับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามหลักการพัฒนาสมอง (Brain-based Learning) เพื่อเตรียมความพร้อมเด็ก เยาวชน และคนวัยทำงาน ให้มีทักษะความรู้สอดคล้องกับความต้องการตลาดแรงงานในเขตพื้นที่อีอีซี 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง ซึ่งต้องการแรงงานในสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจำนวนมาก ให้มาร่วมกันเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ประเทศ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการพบุคลากรในพื้นที่อีอีซีให้สามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ มีทักษะความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และยังรวมถึงทักษะชีวิตที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 มีคุณธรรมจริยธรรม สามารถปรับตัวให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงรอบตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดร. อภิชาติ กล่าวว่า จากข้อมูลของมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายและเศรษฐกิจการคลังล่าสุดในปี 2560 ในพื้นที่อีอีซีมีโรงเรียนระดับมัธยมศึกษารวมประมาณ 80 แห่ง มีเด็กระดับมัธยมศึกษาตอนปลายรวมกว่า 90,000 คน และมีสถาบันระดับอาชีวศึกษารวม 59 แห่ง นักเรียนประมาณกว่า 80,000 คน และภายใต้โครงการในปี 2562 นี้ OKMD จะดำเนินงาน 2 กิจกรรมหลัก ประกอบด้วย 1. การอบรมกลุ่มบุคลากรครูผู้สอนสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับวิทยาการหุ่นยนต์และคอมพิวเตอร์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ในเขตพื้นที่อีอีซี จำนวน 300 คน ระหว่างวันที่ 25-27 พ.ค. 62 และ 2. ค่ายเยาวชนเพื่อเพิ่มความรู้และทักษะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาและระดับอาชีวศึกษา ในพื้นที่อีอีซี หรือ OKMD Innovation Youth Camp จำนวน 600 คน ได้แก่ รุ่นที่ 1 ที่ จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 15-16 มิ.ย. 62 รุ่นที่ 2 ที่ จ.ชลบุรี วันที่ 22-23 มิ.ย. 62 และรุ่นที่ 3 ที่ จ.ระยอง วันที่ 29-30 มิ.ย. 62
ดร. อภิชาติ กล่าวต่อว่า OKMD ได้นำหลักการพัฒนาสมอง (Brain-based Learning : BBL) มาเป็นแนวทางจัดการเรียนรู้ภายในค่ายฯ ร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบสเต็ม (STEM Education) เพื่อเพิ่มทักษะในทางปฏิบัติให้สามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วยตัวเอง โดยอาศัยการบูรณาการความรู้ 4 วิชาหลักที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรม (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) โดยเด็กๆ จะได้รับการกระตุ้น ปลูกฝัง เกิดแรงบันดาลใจและสนใจในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น เพราะจะเริ่มรู้จักความถนัดของตัวเอง ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ชอบ และสิ่งสำคัญ คือ ได้เรียนรู้ในสิ่งที่เป็นความต้องการที่แท้จริงของตลาดแรงงาน เทคโนโลยีมากขึ้น และอยากเรียนต่อในระดับปริญญาตรี หรือยึดเป็นวิชาชีพตามความถนัดความชอบของตัวเอง และยังได้เพิ่มการใช้ศิลปะ (Arts) เข้ามาเป็นอีกศาสตร์หนึ่งในการบูรณาการความรู้ตามความเหมาะสมกับประเภทของการใช้งาน ทั้งในส่วนของวิทยาการด้านหุ่นยนต์ และในส่วนของวิทยาการด้านเออาร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับกราฟิกคอมพิวเตอร์ ที่จะเน้นการใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีและศิลปะเข้ามาสร้างภาพให้เกิดมิติที่สวยงามและน่าสนใจ
โดยได้รับความร่วมมือจากอาจารย์และวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญจากสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มาให้ความรู้ในการอบรมเป็นเวลา 2 วัน เด็กจะเรียนรู้อย่างสนุกสนาน เข้าใจกลไกการทำงาน ได้ลงมือ และระดมสมองร่วมกันทำหุ่นยนต์และเออาร์ด้วยตนเองตามขั้นตอนจนสามารถใช้การได้จริง ซึ่งเป็นไปตามหลักการทำงานของสมอง คือ เรียนรู้ตรงจากประสาทการรับรู้ ทั้งทางหู ตา จมูก ลิ้น กายสัมผัส และใจ เรียนรู้ด้วยความเข้าใจมากกว่าการท่องจำ
ดร. อภิชาติ กล่าวอีกว่า สำหรับผลการจัด OKMD Innovation Youth Camp รุ่นที่ 1 ที่ จ.ฉะเชิงเทรา พบว่าเด็กให้ความสนใจมาก โดยเฉพาะค่ายหุ่นยนต์ มีนักเรียนสมัครเกินโควตา จาก 100 คน เพิ่มเป็น 120 คน จากการประเมินผลพบว่าเด็กมีทัศนคติดีขึ้น บอกว่า สนุกและไม่ยากเหมือนอย่างที่เคยคิดไว้ ทำให้ได้รับความรู้ สามารถเข้าใจได้มากขึ้น หลายคนเกิดแรงบันดาลใจที่จะนำความรู้จากการเข้าค่ายไปต่อยอดสิ่งประดิษฐ์เดิมที่เรียนในวิชาสเต็ม อย่างเช่น น้องๆ นักเรียนจากโรงเรียนดอนฉิมพลีวิทยาคม อ.บางน้ำเปรี้ยว ซึ่งเคยส่งผลงานสิ่งประดิษฐ์ทุ่นลอยน้ำให้อาหารปลา ทีมีการบูรณาการความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และการเกษตรเข้าด้วยกัน และได้รับรางวัลชนะเลิศเหรียญทองระดับจังหวัดฉะเชิงเทราในปี 2561 ก็จะกลับไปเพิ่มให้เป็นระบบอัตโนมัติ โดยใช้ความรู้ด้านไฟฟ้าและการควบคุมการทำงานโดยคอมพิวเตอร์ ทำให้สามารถเคลื่อนที่ได้ด้วย เพื่อให้ปลาได้กินอาหารอย่างทั่วถึง และตั้งใจจะส่งสิ่งประดิษฐ์นี้ประกวดในระดับเขตการศึกษา 6 ในปีนี้ด้วย
“ปัญหาของเด็กที่จบระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษานั้น บางส่วนอาจเลือกเรียนในสาขาที่ตัวเองไม่ได้ชอบหรือถนัด เมื่อเรียนจบก็อาจไม่อยากประกอบอาชีพในสาขาที่เรียนมา หรือไม่สามารถแข่งขันกับเด็กที่รู้จักตัวเอง และเลือกเรียนในสาขาที่ตนเองถนัดโดยตรง จึงเป็นสาเหตุสำคัญของการตกงาน หรือทำงานไม่ตรงกับสาขา ซึ่งถือว่าเป็นการเสียโอกาสของเด็กที่ต้องทุ่มเทเวลาเรียนถึง 3-4 ปี และแน่นอนที่ประเทศก็เสียโอกาสในการที่ไม่สามารถใช้ศักยภาพทุนมนุษย์ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง” ดร.อภิชาติ กล่าวทิ้งท้าย