OKMD กระตุกต่อมคิด สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ - Opportunity for All
กระตุกต่อมคิด เพื่อพัฒนาความคิด เพิ่มความรู้ สร้างสรรค์ภูมิปัญญา

ยักษ์เล็กไล่ยักษ์ใหญ่ Social Trade VS Modern Trade

1176
ใน 20 ปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าภาพของธุรกิจการค้าขายในบ้านเรา ส่วนใหญ่นั้นถูกจัดเข้ากับฟอร์แมททุนนิยมอย่าง “Modern Trade” ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ จนเรียกได้ว่าเป็นยุคสมัยของโมเดิร์นเทรดก็ว่าได้… คลื่นกระแสการเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้น ส่งผลกระทบมากมายต่อวิถีชีวิตของผู้คน รูปแบบการค้าขายเดิมๆ ยกตัวอย่างเช่น ร้านขายของชำหรือแม้กระทั่งร้านอาหารสุดแสนอร่อยละแวกบ้าน ก็ต้องแปรสภาพธุรกิจ ปรับเปลี่ยนหนีตายกันไปอย่างจ้าละหวั่น… บางธุรกิจก็ล้มตาย สูญพันธุ์… ทำให้รูปแบบธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายเหมือนดอกไม้ที่ผุดขึ้นมาเบ่งบานจากร่องรอยแตกแยกของดินที่แห้งแล้ง… เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นมาจากการพัฒนาของสังคมเมืองและการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของระบบทุนนิยมทั่วโลก
.
มีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง… กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้
.
…เมื่อครั้งมีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองนานมาแล้ว มีการปิดถนนหน้าสยาม… ตอนนั้นพ่อค้าแม่ขายที่เช่าพื้นที่ในช้อปหรือในห้างก็เสียหาย เพราะไม่มีคนไปเดินซื้อของเหมือนแต่ก่อน .. บางคนมีค่าใช้จ่าย fixed cost ไหนจะค่าเช่า ค่าผ่อนรถ ค่ากิน ค่าอยู่ พนักงานที่ต้องดูแล ของที่ลงทุนซื้อมาแล้ว… ธุรกิจ ห้างร้านก็เสียหาย… ที่ทราบมาเพราะว่า มีเพื่อนพี่น้องหลายคนเปิดร้านอยู่ที่นั่น ในเวลานั้น… พ่อค้าแม่ขายบางส่วน พลิกวิกฤตเป็นโอกาส แก้ปัญหาโดยการใช้ถนนที่ปิดนั้นเปิดร้านค้าเป็นถนนคนเดิน เอาของที่จะขายในช็อป ออกมาขายเป็นตลาดอยู่บนถนนคนเดิน สร้างความคึกคักได้ไม่น้อย… พอแก้ขัดไปได้… แต่ยอดขายสินค้าก็ค่อยๆ ลดลงนับจากนั้น…
..
ในขณะเดียวกัน… พ่อค้าแม่ค้าบางส่วนก็คิดว่า การที่ยอดขายมันลดลงก็เพราะเหตุการณ์บ้านเมืองไม่ปกติ โถ… เดี๋ยวบ้านเมืองสงบแล้วมันก็จะดีขึ้นเอง ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ปล่อยให้มันแย่นานหรอก!!!!! … ในขณะที่บางส่วนย้ายหน้าร้านไปอยู่ในโลก Cyber… เริ่มสร้างธุรกิจใหม่ๆ ขายของในสังคมออนไลน์ จนเหตุการณ์คลี่คลายและสงบลง…
.
กลุ่มพ่อค้า แม่ค้าที่ย้ายไปขายของออนไลน์ ก็เห็นชัดว่า ยอดขายค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ต้นทุน fixed cost ต่ำลง… ร้านก็ไม่ต้องเช่าในราคาที่สูง หน้าร้านก็ไม่ต้องมี การค้าขายได้กลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น บางเจ้าไปไกลจนถึงต่างประเทศ… แล้วร้านต่างๆ ก็คิดได้ว่า “เอ้อ… ทำแบบนี้ก็ได้นี่หว่า” จะเสียค่าเช่าที่แสนแพงกันไปทำไมวะ???!!!” …หลายๆ เจ้าก็ค่อยๆ ทยอยปิดตัว ปิดหน้าร้านกันไป เพราะย้ายไปขายในช่องทางออนไลน์ดีกว่า…

เป็นอีกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์การค้าในสังคมไทยที่มีการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมผู้บริโภค เป็นเหตุการณ์เล็กๆ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจค้าขายออนไลน์หรือ e-commerce ที่จะกลายเป็นตลาดหลักแบบที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเวลาที่ผ่านมา…
.
พอเริ่มต้นในยุค Social Media อย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน การค้าขายในลักษณะ e-commerce จากการดิสเพลย์ ย้ายหน้าร้านไปอยู่ในเว็บไซต์ ก็เริ่มที่จะกลายสภาพร้านของตัวเองเข้าสู่ช่องทาง โซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเฟสบุ๊คไลฟ์ อินสตาแกรม ไปจนถึงช่องทางการขายใน “ไลน์กรุ๊ป” ที่มุ่งเน้นการสร้างฐานข้อมูลกลุ่มลูกค้าเฉพาะที่เป็นสินทรัพย์ของเจ้าของธุรกิจเอง… สามารถส่งตรงข้อมูลสินค้าเข้ามาสู่กลุ่มลูกค้าได้โดยตรง ไม่ว่ากลุ่มลูกค้าจะอยู่ที่ไหน เวลาใดก็ตาม… ด้วยความง่าย สะดวก จนใครๆ ก็สามารถเปิดร้านได้โดยไม่ต้องอาศัยเงินลงทุนที่มากมายนัก อีกทั้งตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างมาก ประกอบกับความไร้พรมแดนของโซเชียลเน็ตเวิร์ค ส่งผลให้สินค้าของพวกเค้าสามารถกระจายออกไปสู่ลูกค้าจากทั่วโลกได้โดยไม่ได้จำกัดอยู่ในประเทศไทยอย่างเดียวเท่านั้น… พ่อค้า แม่ขาย หลายๆ คนจึงหันมาเปิดร้านในโซเชียลกันอย่างล้นหลาม… ผมขอตั้งชื่ออย่างไม่เป็นทางการ ให้กับรูปแบบของการค้าขายลักษณะนี้ว่า “Social Trade”
.
ปรากฏการณ์ CF NO CC (Confirm NO Cancel) ที่เริ่มต้นมาจากกลุ่มพ่อค้า แม่ค้ากระแสเล็กๆ แพร่ขยายเพิ่มจำนวนร้านค้าไปอย่างรวดเร็วกับสินค้าทุกประเภท เสมือนคุณย่อห้างสรรพสินค้าไว้ในมือถือที่สามารถจะ ช้อปปิ้งที่ไหน? เมื่อไหร่ก็ได้??!!… ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนคุณรถติดอยู่บนถนน นั่งประชุมอยู่ที่ทำงาน ไปจนถึงอยู่บนเตียงกำลังที่จะนอน… ระบบ Social Trade เล็กๆ นี้กำลังจะส่งผลกระทบต่อระบบใหญ่อย่าง Modern Trade เสมือนเป็นยักษ์ใหญ่ที่ดูเหมือนจะไม่มีวันล้มได้… เมื่อผู้คนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการจับจ่าย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของในระบบ Social Trade แทนที่จะไปเดินห้างสรรพสินค้าหรือตลาดเหมือนอย่างที่เคยเป็น แม้กระทั่งสินค้าอุปโภค บริโภค ที่เราต้องใช้ในชีวิตประจำวันทุกวัน จากเดิมที่เคยไปเดินซื้อที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตทุกอาทิตย์ แต่ในอนาคตอันใกล้ เมื่อระบบ AI (Artificial Intelligent) เทคโนโลยีพัฒนาไปฝังตัวเข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลาย… ยกตัวอย่างตู้เย็นที่คอยเก็บข้อมูลว่าเราชอบทานอะไรบ้าง? เมื่อของหมดแล้ว ระบบจะส่งข้อมูลไปที่เลขาสมองกลที่คล้าย Siri ใน iPhone แล้วเชื่อมต่อกับเหล่าบรรดาร้านค้าต่างๆ ให้จัดส่งมาถึงหน้าบ้านโดยที่เราไม่จำเป็นต้องทนรถติด หรือ ต้องไปแบกซื้อของเข้าบ้านหนักๆ ขึ้นรถอีกต่อๆ ไป เช่น การบริการที่เชื่อมกับตู้เย็นจดจำข้อมูลของเรานั้น บริษัท Walmart มีบริการจัดส่งสินค้าด้วยการให้พนักงานส่งของไปส่งของให้ถึงในบ้านในวันที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ แค่พนักงานเพียงป้อนรหัสผ่าน (เป็นรหัสผ่านแบบใช้ได้ครั้งเดียว) ที่หน้าประตู เขาก็สามารถเดินเข้าไปในบ้านได้เลย ส่วนเจ้าของบ้านก็มีระบบความปลอดภัยรองรับ มี Notification จากระบบของ August Home มาบอกว่าพนักงานส่งของมาถึงแล้ว ส่วนกล้องวงจรปิดภายในบ้านก็จะเริ่มทำงานและส่งภาพของพนักงานส่งของตั้งแต่ต้นจนจบไปให้เจ้าของบ้านได้ชม ด้วยการส่ง Notification ไปบอกเจ้าของบ้านว่าประตูล็อกเรียบร้อย (หรือก็คือการบอกไปในตัวว่าพนักงานส่งของกลับออกไปแล้วนั่นเอง) ถึงแม้บริการนี้ยังเปิดให้บริการแบบกลุ่มเล็กๆ กับลูกค้าของ August Home ในซิลิคอนวัลเลย์เท่านั้น แต่ความฉลาดรอบรู้แทนคน ได้เกิดขึ้นแล้ว
.
ทั้งหมดจะทำให้ห้างสรรพสินค้าจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนสถานะ ปรับตัว… จากเดิมที่เป็นที่จำหน่าย แพร่กระจายสินค้าเป็นหลัก ก็ต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นพื้นที่ที่รองรับกิจกรรมพิเศษทางสังคมของคนเมืองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย เป็นสวนสาธารณะให้กับเมือง พาสุนัขมาเดินเล่น สวนสนุก จัดอีเว้นท์ต่างๆ เพื่อให้ผู้คนมา Hang out แล้วการขายสินค้าค่อยตามมา
.
อย่างล่าสุดเรื่องของการขายสินค้าผ่านช่องทาง “การไลฟ์เฟสบุ๊ค” ไม่ว่าจะเป็น “เจ๊น้ำ” ที่ไลฟ์ขายของเหมือนคนไม่มีสติ หรือ “พี่เสกโลโซ” ที่ไลฟ์สดข้ามคืนติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน ทั้งหมดเกิดขึ้นต่อเนื่องกันและสร้างปรากฏการณ์สร้างผู้คนเรือนแสนผ่านรูปแบบการนำเสนอแบบนี้.. มากกว่ารายการทีวีที่ลงทุนกับโปรดักชั่นด้วยงบประมาณมหาศาลเสียอีก!!!! หลายคนคิดว่าพี่เสกไม่สบาย หรือ เจ๊น้ำสติไม่ดี รึป่าว????… แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สังคมได้เรียนรู้วิธีใหม่ๆ เกิดขึ้นแล้วในการทำธุรกิจ และเชื่อได้ว่าเหตุการณ์เล็กๆ ที่ดูเหมือนไม่ได้สลักสำคัญอะไรนี้ มันจะส่งผลกระทบมหาศาลแพร่กระจายต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ไปอย่างรวดเร็วมากกับรูปแบบธุรกิจ – การค้าขายในบริบทของสังคมไทย
.
ไม่มีอะไรไม่เกี่ยวกับเราหรอก… ทุกๆ การเปลี่ยนแปลงมันมี “สัญญาณ” ส่งมาบอกก่อนเสมอ… เรื่องธุรกิจก็เช่นกัน… แต่บางครั้ง สัญญาณนั้นมันเบาบางมาก จนเราไม่สังเกตเห็น หรือไม่เราก็เลือกที่จะไม่สนใจมันเอง เหมือนตัวอย่างข้างต้น… จนกระทั่งรู้ตัวก็ปรับตัวไม่ทันสายไปเสียแล้ว… “รู้อะไรไม่สู้ รู้งี้”
.
บทความที่เขียนให้ OKMD ตั้งแต่ Learning by BNK48 ทั้ง 5 ตอน ที่หลายๆ คนอาจจะมองข้าม มองเพียงแค่มันน่าจะเป็นแค่ “กระแส” หรือคงจะเป็นพวกคลั่งโอตะมาเขียน จนมาถึงบทความอีก 3 ตอนที่พูดถึง The Rapper… มันไม่ใช่เพียงกระแส หรือเรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เราพยายามวิเคราะห์ ถึงสัญญาณต่างๆ ที่จะส่งผลต่อ สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมของบ้านเราที่เรา… ใกล้ตัวพวกเรามาก…
.
สัญญาณส่งมาก่อนที่จะมีผลกระทบเป็นคลื่น Second Impact ที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิต หรือแม้กระทั่งวิธีการทำมาหากินในชีวิตคุณไปตลอดกาล… เราอยากให้คุณอ่านก่อนจะเกิดคำอุทานว่า “เอ้ออ… มันทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอว่ะ”… ไม่อยากตกขบวนก็ต้องไม่ทำตัวเป็นกบอยู่ในกะลาฮะ

อ้างอิง
- “Direct-to-Fridge” เมื่อ Walmart จัดส่งสินค้าให้ถึงตู้เย็นในบ้าน
https://thumbsup.in.th/2017/09/direct-fridge-walmart-smart-home/
รูปภาพ : Credit : Apostrophy’s Group Co., Ltd.